“ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมป่าไม้ เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ถือครองที่ดินในจังหวัดพิจิตร และจังหวัดเพชรบูรณ์ หลังจากขยายผลตรวจสอบพบการบุกรุกป่า และทำลายทางสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน 73 ไร่เศษ


นายอดิศร นุชดำรงค์ อธิบดีกรมป่าไม้ พร้อมด้วยนายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า เข้ายื่นเอกสารหลักฐานเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง กรณีตรวจพบการบุกรุกพื้นที่ป่าจำนวน 15 แปลง เนื้อที่ 73-0-08 ไร่ ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีพลตำรวจตรีพิทักษ์ อุทัยธรรม ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พันตำรวจเอกกฤษณะ สุขสมบูรณ์ รองบังคับการบก.ปทส. พันตำรวจเอกศานุวงษ์ คงคาอินทร์ ผู้กำกับการ 4 บก.ปทส. และคณะพนักงานสอบสวน บก.ปทส. เป็นผู้รับเรื่องร้องทุกข์กล่าวโทษ

สำหรับการดำเนินคดีในครั้งนี้ สืบเนื่องจากที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้บูรณาการร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการขยายผลตรวจสอบการถือครองที่ดินแบบผิดกฎหมายของกลุ่มทุนที่บุกรุกยึดถือครอบครองที่ดินตามพระราชบัญญัติป่าไม้ 2484 ในท้องที่จังหวัดพิจิตร และจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยตรวจพบการขอใช้พื้นที่จากกรมป่าไม้โดยไม่ถูกต้อง ประกอบกับหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันพบมีการบุกรุกพื้นที่ป่า และทำลายทางสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันรวม ๑๕ แปลง ซึ่งเป็นการแจ้งความเพิ่มเติมจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ที่เคยรวบรวมพยานหลักฐานแจ้งความดำเนินคดี ในความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ 2484 และพระราชบัญญัติทางหลวง 2535 และส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบกรณีการอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงผังโครงการเหมืองแร่ทองคำโดยมิชอบ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอกชน โดยที่ประชุมมีมติชี้มูลความผิดอดีตอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ กับพวกไปแล้ว

จากนี้พนักงานสอบสวน บก.ปทส.จะนำเรื่องเสนอกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตั้งคณะทำงานสอบสวนเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งการดำเนินคดีเป็นไปตามพยานหลักฐานที่กรมป่าไม้ได้รวบรวมมาร้องทุกข์กล่าวโทษ ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง พร้อมยืนยันไม่มีผลกับการพิจารณาคดีตามกระบวนการอนุญาโตตุลาการกับรัฐบาลไทย

แสดงความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *